การวิปัสสนา ตัวอย่าง การน้อมจิตพิจารณากายสังขาร
ก่อนอื่นนั่งสมาธิ ให้เอามือขวาทับมือซ้าย
หายใจเข้า หายใจออก
ภาวนา พุทโธ พุทโธ
เริ่มพิจารณากายสังขาร
คนเราเกิดมา ในท้อง ค่อยๆ งอกแขน งอกขาออกมา แล้วค่อยๆเติบโต ออกมาจากท้องแล้วก็เริ่มคลาน เริ่มเดิน เริ่มเจริญเติบโตเป็นวัยเด็ก ประมาณ 5 ขวบ 6 ขวบ จนกระทั่งเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็แก่ชรา แล้วก็เกิดบาดเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ตาย
พอตายเสร็จแล้วเนื้อหนังก็เปื่อยมีเนื้อหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ มีน้ำหนองไหล แล้วลูกนัยน์ตาก็ถลนออกมา เลือดก็ออกเต็มตัวเลย แล้วก็เลือดออกมาหมดเลย แล้วก็เหลือแต่กระดูก กระดูกก็โดนหมากัด หมาแทะ เสือมาเหยียบอีก ต้นหญ้าขึ้น สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงธุลีดิน
# แต่ถ้าใครไม่อยากพิจารณากายสังขาร ก็สามารถพิจารณาเรื่องนาฬิกา (ขันธ์ 5 รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ)วันนี้จะอธิบายแค่รูปก่อน ให้พิจารณาเรื่องนาฬิกาว่าภายในนาฬิกามันมีความซับซ้อน
# การน้อมจิตพิจารณา ให้มองแบบตาเอ็กซเรย์ มองถึงด้านในได้ จะลองพิจารณานาฬิกาให้ดู ขั้นตอนแรกนาฬิกาก็ยังดีอยู่ และก็สวยงาม ข้างในก็มีทั้งกลไกต่างๆ มีทั้งกลไกหรือว่าเคลื่อนกล และพอเปิดไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มที่จะไม่ตรง ถ่านก็เริ่มหมดแล้วมันก็เริ่มเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ จนเป็นสนิม แล้วก็ตกลงมา แล้วพังในที่สุด ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้ ไม่มีสิ่งใดที่อยู่ได้ตลอด อันนี้เป็นการพิจารณาขันธ์ 5 ในเรื่องของรูป
# การพิจารณาจะใช้จิตพิจารณากรรมฐาน ทีละจุด เป็นการพิจารณากายสังขาร แบบคณิตศาสตร์คือใช้การคิดเอง ไม่ใช้แบบประวัติศาสตร์ที่จะเป็นการอ่านมา
การพิจารณาให้พิจารณาไปทีละจุด ทีละขั้นตอน หากพิจารณาแบบนาฬิกาแล้วไปเป็นแก้วเลยแบบนี้จะไม่ได้จิตสัมผัสเลย จึงให้พิจารณาเป็นขั้นตอนไปจะทำให้เกิดปัญญา
บางทีอาจจะทำให้เกิดอารมณ์แบบว่าเอาจิตออกแล้วก็ยังมาใหม่ ต้องเอาปัญญามากั้นเอาไว้ แต่พิจารณาปัญญาน้อยเกินไป แล้วจิตฟุ้งซ่านมันมากขึ้นเรื่อยๆอุปสรรคมันเยอะขึ้นเรื่อยๆปัญญามันก็จะต้านไม่ไหว แล้วก็จะอยู่ในอารมณ์
เพราะฉนั้นต้องใช้ปัญญาปกป้องเอาไว้เหมือนเป็นกำแพง และต้องเสริมกำแพงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้กำแพงพังลงมา
"น้อมจิตพิจารณาต่อซึ่งเวทนา ในขันธ์ 5"
ท่านทั้งหลายจงฟังเราเถิด ณ.กาลเวลานี้ จักพาท่านน้อมจิตพิจารณาต่อซึ่งเวทนา ในขันธ์5....
**เมื่อเริ่มแรกนั้น จิตดวงนี้เป็นดวงจิตใส กาลครั้งแรกนั้น ได้รับรู้ถึงง้วนดิน จึงเกิดเป็นสภาวะปรุงแต่ง เริ่มจาก ติดในรสชาติ พัฒนามาซึ่ง ถึงปรุงแต่ง เกิดเป็น ทุกข์ สุข หลง จน เดินไปสู่ กามราคะ....
**เมื่อจิตเกิดสภาวะการปรุงแต่งซึ่งสภาวะของโลกนั้น จึงปรากฎ การยึดมั่นถือมั่น เป็นกายสังขาร แล
สภาวะนี้แล จึงนำไปเก็บไว้ที่ สมองเกิดเป็น เมมโมรี่ สลัดไม่หลุด ด้วยมีสายเป็นใยเชื่อมต่อไว้กับจิต เมื่อไม่มีสภาวะธรรมเข้ามาจึงห่อล้อมไว้แน่นหนา จนหลอมเข้าหากัน.......
วิธีการสลัดจากพันธนาการนั้น ให้ท่าน ปล่อยอารมณ์ที่เกิดในสภาวะนี้ ไม่ว่าจะติดด้วยกับดักตัวไหน ทุกข์ สุข หลง กามราคะ ด้วยเป็นเมมโมรี่ที่เกิดในสมอง(ใจ) ให้ปล่อยออกมา แล้วทำตามเรา หายใจยาวๆแรงๆ เอาล่ะ ให้นำจิตเข้าไปพิจารณาถึงสภาวะที่เกิด ซึ่งอยู่ในเมมโมรี่ ซึ่งโดนจำไว้ในสมอง แยกออกตามสภาวะที่เกิด เป็นจิตที่แยกออกมาจากพันธนาการแล้วมองกลับเข้าไปเพื่อให้ตื่นรู้
ตื่นรู้ ตื่นรู้ ปัญญาเกิด ...จนวางจิตอยู่เหนือซึ่งเมมโมรี่..
หลอดไฟแม้มีแสงสว่างให้มองเห็น แต่อาจขุ่นมัวได้ด้วยฝุ่นละอองและซากแมลงที่บินเข้ามาเกาะเกี่ยวติดแน่น หากแม้เมื่อเรามีความต้องการให้หลอดไฟกลับไปส่องสว่างดังเดิม เราก็ต้องชะล้างทำความสะอาดเสียก่อน การปล่อยให้ความขุ่นมัวยังคงปกปิดความสว่างไว้แสงไฟย่อมลดความสว่างลงไปเรื่อยๆและมืดมิดไปในที่สุด
เปรียบเทียบได้กับสภาวะจิตของเรา หากเมื่อเราปล่อยให้อารมณ์ปรุงแต่งจิต แล้วจิตก็สั่งกายสังขาร ให้ทำไปตามอารมณ์ปรุงแต่ง นั้นตลอดเวลาโดยมิได้หยุดจิตเพื่อคิดพิจารณา ถึงอารมณ์ดีชั่ว ทุกข์สุขที่พอกพูนเกาะเกี่ยวจิต จิตจึงถูกอารมณ์ทับถมทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะมองหาจิตเดิมไม่เจอ สุดท้ายเมื่อจิตแยกจากกายสังขารไป ก็ต้องไปเสวยภพภูมิต่างๆตามแต่สภาวะจิตที่สั่งสมไว้ มีที่เป็นไปได้ในสามช่องทางที่จะกล่าวนี้คือ....
การไปเสวยทุกข์ในนรก คือสภาวะที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย มีเพียงทุกข์เพียงสิ่งเดียวที่ได้รับ เป็นสภาวะของการรับกรรมชั่วที่ตนทำไว้ เสมือนหลอดไฟที่พังไปแล้ว ซ่อมใหม่ไม่ได้....
การไปเกิดเป็นสัตว์ คือสภาวะที่จิตก่อนนั้น ยังรู้ดีรู้ชั่วได้บ้างเป็นครั้งคราว หากแต่ปล่อยจิตไปในทางต่ำคือชั่วมากกว่า เมื่อเสวยทุกข์ในสภาวะนี้จึงอาจมีสุขได้บ้างตามกำลังที่มี แต่ก็แบบริบหรี่ หาได้รู้จักในสุข นั้น มากนัก เนื่องด้วยความไม่รู้อันเป็นปรกติของสังขารสัตว์ จึงเปรียบได้กับหลอดไฟที่ติดๆดับๆ...
สุดท้าย การเสวยสุขในชั้นเทพเทวดาอินทร์พรหม ย่อมมีสุขได้เสพเพียงอย่างเดียวอันเป็นกำลัง ของสภาวะนี้ เสวยสุขจนหมดสุขนั่นแลจึงจักได้มีโอกาสมาเริ่มต้นใหม่
เริ่มต้นของการสร้างภพภูมิใหม่ในชั้นของมนุษย์อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเลือก คือเลือกที่จะเป็นไปในทิศทางใด จะสั่งสมปัญญา หรือสั่งสม อวิชชาความไม่รู้ ก็ขึ้นอยู่กับกำลังกรรมดีที่มี หรือกำลังกรรมชั่วที่เคยทำในอดีตโดยบวกกำลังความตื่นรู้ในจิตปัจจุบัน....จึงเปรียบเสมือนหนึ่งการเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ที่กล่าวไว้นั้นเอง.......